วันอาทิตย์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ประเทศอิตาลี



อิตาลี (Italy)

ประวัติความเป็นมา

อิตาลี(Italy)มีชื่ออย่างเป็นทางการคือสาธารณรัฐอิตาลี (Italian Republic)เป็นประเทศในทวีปยุโรป บริเวณยุโรปใต้ ตั้งอยู่ในคาบสมุทรอิตาลีที่มีรูปทรงคล้ายรองเท้าบูตและมีเกาะ 2 เกาะใหญ่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน คือ เกาะซิซิลีและเกาะซาร์ดิเนีย และพรมแดนตอนเหนือแบ่งประเทศโดยเทือกเขาแอลป์ กับประเทศฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ ออสเตรีย และ  สโลวีเนียประเทศอิตาลีเป็นประเทศสมาชิกก่อตั้งของสหภาพยุโรปเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ นาโต และกลุ่มจี 8


ธงชาติอิตาลี


มีประเทศอิสระ 2 ประเทศ คือ ซานมารีโนและนครรัฐวาติกัน เป็นดินแดนที่ล้อมรอบไปด้วยพื้นที่ของอิตาลี ในขณะที่เมืองกัมปีโอเนดีตาเลียเป็นดินแดนส่วนแยกของอิตาลีที่ถูกล้อมรอบด้วยพื้นที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

ภูมิประเทศ

ประเทศอิตาลีตั้งอยู่บนคาบสมุทรอิตาลี ถูกล้อมรอบด้วยทะเลในทุกๆ ด้านยกเว้นด้านเหนือ อาณาเขตทางทิศเหนือติดต่อกับประเทศฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์และออสเตรียโดยมีเทือกเขาแอลป์กั้นแบ่ง โดยในเทือกเขามีภูเขาที่สูงที่สุดในทวีปยุโรป คือภูเขามอนเตบีอังโก (อิตาลี: Monte Bianco) ซึ่งตั้งอยู่ในประเทศอิตาลี เทือกเขาที่สำคัญอีกแห่งคือ เทือกเขาแอเพนไนน์ (อิตาลี:Appennini) พาดผ่านตอนกลางและตอนใต้ของประเทศ มีแม่น้ำที่ยาวที่สุดในอิตาลีคือแม่น้ำโป (Po) และแม่น้ำไทเบอร์ที่ไหลผ่านกรุงโรม อิตาลีมีดินแดนที่ราบลุ่มริมแม่น้ำราว 25 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ทั้งประเทศ โดยที่ราบลุ่มแม่น้ำโป ทางตะวันออกเฉียงเหนือเป็นบริเวณพื้นที่ราบที่กว้างใหญ่ที่สุด อิตาลีมีเกาะมากมาย แต่เกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดคือเกาะซิซิลีและเกาะซาร์ดิเนีย สามารถเดินทางได้โดยเรือและเครื่องบิน
ทางตอนเหนือของอิตาลีมีทะเลสาบที่มีขนาดใหญ่มากมาย เช่น ทะเลสาบการ์ดา โกโม มัจโจเร และทะเลสาบอีเซโอ เนื่องจากประเทศอิตาลีถูกล้อมรอบด้วยทะเล ดังนั้นจึงมีชายฝั่งทะเลยาวหลายพันกิโลเมตร ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก และนักท่องเที่ยวก็นิยมเที่ยวสถานที่ทางประวัติศาสตร์ของอิตาลีอีกด้วย ประเทศอิตาลีมีทะเลสาบปล่องภูเขาไฟมากอันดับหนึ่งของโลก เมืองหลวงของประเทศอิตาลีคือกรุงโรม และเมืองสำคัญอื่น ๆ เช่นเมืองมิลาน ตูริน ฟลอเรนซ์ เนเปิลส์ และเวนิส และภายในประเทศอิตาลียังมีประเทศแทรกอยู่ 2 ประเทศ ได้แก่ ประเทศซานมารีโนและนครรัฐวาติกัน
ทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญของประเทศ คือ ปรอท โพแทช (โพแทสเซียมคาร์บอเนต) หินอ่อน กำมะถัน แก๊สธรรมชาติ น้ำมันดิบ ปลาและถ่านหิน
อิตาลีมีปัญหาด้านสภาพแวดล้อม เช่น มลภาวะเป็นพิษจากอุตสาหกรรมและการสันดาบ ชายฝั่งแม่น้ำเน่าเสียจากอุตสาหกรรม และสารตกค้างจากการเกษตร ฝนกรด การขาดการดูแลบำบัดของเสียจากอุตสาหกรรมอย่างเพียงพอ และปัญหาด้านภัยธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว ดินและโคลนถล่มภูเขาไฟระเบิด น้ำท่วม รวมถึงปัญหาแผ่นดินทรุดตัวในเวนิส
ภูมิอากาศ
ประเทศอิตาลีมีลักษณะอากาศหลากหลายแบบ และอาจมีความแตกต่างจากภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียนตามลักษณะพื้นที่ตั้ง พื้นที่ส่วนใหญ่ทางตอนเหนือของประเทศ เช่นเมืองตูริน มิลาน และโบโลญญา มีลักษณะแบบอากาศภาคพื้นทวีปที่ค่อนข้างร้อนชึ้น (การแบ่งลักษณะภูมิอากาศแบบเคิปเปน: Cfa) พื้นที่ชายฝั่งติดกับทะเลของแคว้นลิกูเรียและส่วนใหญ่ของคาบสมุทรที่อยู่ใต้ลงไปจากฟลอเรนซ์เป็นภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน (การแบ่งลักษณะภูมิอากาศแบบเคิปเปน: Csa) คือมีอากาศอบอุ่นตลอดทั้งปี โดยมีลมจากแอฟริกาพัดเอาความร้อนและความชี้นเข้ามา พื้นที่ชายฝั่งของคาบสมุทรอิตาลีสามารถมีความแตกต่างกันได้มากจากระดับความสูงของภูเขาและหุบเขา โดยเฉพาะเมื่อถึงฤดูหนาวในที่สูงก็จะมีอากาศหนาว ชื้น และมักจะมีหิมะตก ภูมิภาคริมทะเลมีอากาศไม่รุนแรงในฤดูหนาว อากาศอุ่นและมักจะแห้งในฤดูร้อน และพื้นที่ต่ำกลางหุบเขามีอากาศค่อนข้างร้อนในฤดูร้อน
ประเทศอิตาลีมีฤดู 4 ฤดู ได้แก่ ฤดูหนาว ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน และฤดูใบไม้ร่วง

ประวัติศาสตร์

ยุคก่อนประวัติศาสตร์จนถึงยุคจักรวรรดิโรมัน
คาบสมุทรอิตาลีมีมนุษย์อาศัยตั้งแต่ยุคหินเก่า ดินแดนลุ่มแม่น้ำไทเบอร์เป็นที่ตั้งถิ่นฐานของมนุษย์นีแอนเดอร์ทัลตั้งแต่เมื่อประมาณ 5 หมื่นปีที่แล้ว และด้วยอิตาลีนั้นตั้งอยู่บนคาบสมุทรในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนซึ่งมีอารยธรรมโบราณกล่าวคือ อารยธรรมมิโนอันและไมซีเนียน อารยธรรมที่เกี่ยวพันกับอารยธรรมกรีกโบราณ อิตาลีเป็นประเทศที่มีอารยธรรมมาช้านานและแผ่ขยายดินแดนอื่น ๆ ในทวีปยุโรป
ในช่วง 1,600 ปีก่อนคริสตศักราช พวกอีทรัสคัน จากเอเชียไมเนอร์ก็ได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานในบริเวณที่เป็นแคว้นทัสกานีในปัจจุบัน พร้อมกับนำอารยธรรมกรีกเข้ามาเผยแพร่ ส่วนพวกกรีกเองก็ได้เดินทางมาตั้งอาณานิคมชื่อว่า “แมกนากราเซีย” (อิตาลี: Magna Graecia) ในตอนใต้ของอิตาลีใน 800 ปีก่อนคริสต์ศักราช มีพื้นที่ครอบคลุมบริเวณตั้งแต่เมืองเนเปิลส์จนถึงเกาะซิซิลี
ในคริสต์ศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสต์ศักราช พวกอีทรัสคันได้มีอำนาจปกครองดินแดนตั้งแต่บริเวณชายฝั่งตะวันตกของคาบสมุทรอิตาลีตั้งแต่หุบเขาโป จนถึงบริเวณเมืองนาโปลี และดินแดนรอบ ๆ กรุงโรม ขณะเดียวกันชนเผ่าอื่น ๆ ที่อาศัยอยู่ในคาบสมุทรอิตาลีก็รวมตัวกันจัดตั้งเป็นนครรัฐขึ้น เพื่อต่อต้านการขยายตัวและอำนาจของพวกอีทรัสคันและกรีก ชนเผ่าที่สำคัญในการต่อต้านอำนาจเหล่านี้ได้แก่พวกละติน หรือโรมัน ซึ่งเมื่อถึง 200 ปีก่อนคริสต์ศักราช พวกละตินก็ได้มีอำนาจเหนือดินแดนอิตาลี เกาะซาร์ดิเนียและซิซิลี ทั้งหมดแล้ว
ใน 27 ปีก่อนคริสต์ศักราช โรมได้เปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองจากสาธารณรัฐเป็นระบอบจักรวรรดิ โดยมีจักรพรรดิออกเตเวียน เป็นจักรพรรดิพระองค์แรก นครหลวงแห่งนี้ได้เจริญถึงขีดสุดและสามารถขยายอำนาจปกครองอิทธิพลไปทั่วทั้งยุโรป และบริเวณรายรอบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางของการค้าและความเจริญในด้านวัฒนธรรมและศิลปวิทยาการแขนงต่างๆ แทนอารยธรรมกรีกที่เสื่อมถอยลง ระหว่างปี ค.ศ. 96 – 180 เป็นช่วงระยะเวลาแห่งความเจริญรุ่งเรืองของจักรพรรดิที่ปกครอง 5 พระองค์ แต่หลังจากนั้น โรมต้องประสบปัญหาทั้งในทุก ๆ ด้าน รวมไปถึงการรุกรานของพวกอนารยชน รวมทั้งการเสื่อมโทรมทางศีลธรรมจรรยา ใน ค.ศ. 312 จักรพรรดิคอนสแตนตินทรงยอมรับคริสต์ศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ซึ่งมีผลให้คริสต์ศาสนามีโอกาสได้เผยแพร่ไปทั่วดินแดนที่อยู่ใต้อาณัติของโรม และทรงแบ่งจักรวรรดิโรมันออกเป็นสองส่วน คือ จักรวรรดิโรมันตะวันตก และจักรวรรดิไบแซนไทน์
ในคริสต์คริสต์ศตวรรษที่ 5 จักรวรรดิโรมันตะวันตกและกรุงโรมได้ถูกพวกอนารยชนชาวเยอรมันเข้าปล้นสะดม ซึ่งต่อมาในปี ค.ศ. 476 จักรพรรดิโรมันพระองค์สุดท้ายก็ถูกพวกอนารยชนขับออกจากบัลลังก์ คาบสมุทรอิตาลีถูกแบ่งออกเป็นนครรัฐทั้งหลายซึ่งมีอิสระต่อกันกว่า 14 รัฐ

ยุคกลาง

ในช่วงต้นของยุคกลาง ดินแดนต่าง ๆ ในยุโรปได้ตกอยู่ในสภาวะระส่ำระสายที่บ้านเมืองขาดผู้นำ ระบบการเมือง เศรษฐกิจและสังคมถูกทำลาย แต่ในขณะเดียวกันบิชอบแห่งโรม ก็ได้สามารถสถาปนาอำนาจสูงสุดในคริสตจักรซึ่งต่อมาคือสันตะปาปา” และสามารถจัดตั้งรัฐสันตะปาปาอีกทั้งยังเป็นผู้สืบทอดอารยธรรมโรมันที่ยังหลงเหลือให้คงอยู่ต่อไปอย่างไรก็ดี แม้นครรัฐต่าง ๆ ในคาบสมุทรอิตาลีจะขาดเอกภาพทางการเมือง แต่นครรัฐเหล่านั้นยังเป็นศูนย์กลางของความเจริญมั่งคั่งและการฟื้นตัวของศิลปะและวัฒนธรรมของยุโรป
ในกลางคริสต์คริสต์ศตวรรษที่ 14 อิตาลีได้ประสบความสำเร็จในการฟื้นฟูศิลปวิทยาการของอารยธรรมกรีกและโรมัน โดยเรียกว่า ยุคเรอเนซองส์และเป็นผู้นำของลัทธิมนุษยนิยม ในขณะที่ประเทศต่าง ๆ ในยุโรปยังตกอยู่ภายใต้การปกครองแบบศักดินา แต่เมื่อเข้าปลายคริสต์คริสต์ศตวรรษที่ 15 อิตาลีได้ตกเป็นสมรภูมิแย่งชิงอำนาจระหว่างฝรั่งเศส สเปน และออสเตรีย กล่าวคือ เมื่อปี ค.ศ. 1494 พระเจ้าชาร์ลที่ 8 แห่งฝรั่งเศสได้เปิดการโจมตีคาบสมุทร ซึ่งได้ดำเนินเรื่อยมาถึงกลางคริสต์คริสต์ศตวรรษที่ 16 และการโจมตีเพื่อแย่งการเป็นเจ้า ระหว่างฝรั่งเศสและสเปน
ราชอาณาจักรอิตาลี (ค.ศ. 1861-1946)
ในกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 ได้มีการชุมนุมของขบวนการชาตินิยม เพื่อต้องการรวมอิตาลีจนเป็นผลสำเร็จ โดยการนำของพระเจ้าวิคเตอร์เอมมานูเอลที่ นับแต่นั้นมา อิตาลีจึงอยู่ภายใต้การปกครองระบอบกษัตริย์ เรื่อยมาจนกระทั่งในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ซึ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในอิตาลี เมื่อมีการประกาศยกเลิกความเป็นพันธมิตรกับเยอรมนีและจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี และเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง จนได้รับสมญานามว่าเป็น 1 ใน 4 มหาอำนาจ (The Big Four) ต่อมาสงครามได้ยุติลงด้วยชัยชนะของสัมพันธมิตร อิตาลีจึงได้ดินแดนบางส่วนของออสเตรียมาครอบครอง


เบนิโต  มุสโสลินี  กับ  อดอล์ฟ ฮิตเลอร์   ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
ต่อมาในปี ค.ศ. 1922 ระบบเผด็จการฟาสซิสต์ ถูกนำมาใช้ในประเทศอิตาลีกว่า 20 ปี โดยการนำของเบนิโต มุสโสลินี ถึงแม้ว่าจะมีกษัตริย์ทรงเป็นประมุข แต่ก็เป็นเพียงในนามเท่านั้น จนกระทั่งเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สอง อิตาลีเข้าร่วมกับฝ่ายอักษะ เมื่อฝ่ายสัมพันธมิตรยึดเกาะซิซิลีได้ มุสโสลินีจึงถูกปลดออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และแต่งตั้งปีเอโตร บาโดลโย ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแทน และประกาศสงครามกับนาซีเยอรมนี จนได้รับชัยชนะ โดยมุสโสลินีถูกกลุ่มต่อต้านฟาสซิสต์จับกุม และถูกสังหารที่เมืองมิลาน

สถาปัตยกรรม ประเทศอิตาลี


  

หอเอนเมืองปิซา (อิตาลี: Torre pendente di Pisa หรือ La Torre di Pisa, อังกฤษ: Leaning Tower of Pisa) ตั้งอยู่ที่เมืองปิซาในจัตุรัสเปียซซา เดล ดูโอโม (Piazza Del Duomo) หอระฆังของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก เป็นหอทรงกระบอก 8 ชั้น สร้างด้วยหินอ่อนสีขาว สูง 183.3 ฟุต (55.86 เมตร) น้ำหนักรวม 14,500 ตันโดยประมาณ มีบันได 293 ขั้น เอียง 3.97 องศา ยอดของหอห่างจากแนวตั้งฉาก 3.9 เมตร

การสร้าง

เริ่มสร้างเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ.1173 สร้างเสร็จเมื่อปี 1350 ใช้เวลาสร้างประมาณ 175 ปี แต่การก่อสร้างหยุดชะงักเมื่อสร้างไปได้ถึงชั้น 3 เนื่องจากพื้นใต้ดินเป็นพื้นดินที่นิ่ม ทำให้ยุบตัว ต่อมาในปี ค.ศ.1272 โดย Giovanni di Simone สร้างให้เอนกลับไปอีกด้านหนึ่งเพื่อให้สมดุล แต่การก่อสร้างในครั้งนี้ ก็ต้องหยุดชะงักลงอีกครั้งเนื่องจากเกิดสงคราม ต่อมาก็มีการสร้างหอต่อขึ้นอีกและสร้างเสร็จ 7 ชั้น ในปี ค.ศ.1319 แต่หอระฆังถูกสร้างเสร็จในปี ค.ศ.1372 โดยใช้เวลาสร้างทั้งหมด 177 ปี

ประวัติ

กาลิเลโอ กาลิเลอิ เคยใช้หอนี้ทดลองเกี่ยวกับเรื่อง แรงโน้มถ่วง ในตอนที่เขาเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยปิซา โดยใช้ลูกบอล 2 ลูกที่น้ำหนักไม่เท่ากันทิ้งลงมา เพื่อพิสูจน์ว่า ลูกบอล 2 ลูกจะตกถึงพื้นพร้อมกัน ซึ่งก็เป็นไปตามที่กาลิเลโอคาดไว้
ในปี ค.ศ.1934 เบนิโต มุสโสลินี พยายามจะทำให้หอกลับมาตั้งฉากดังเดิม โดยเทคอนกรีตลงไปที่ฐาน แต่กลับทำให้หอยิ่งเอียงมากขึ้นไปอีก กองทัพสหรัฐฯ ตัดสินใจไม่ยิงปืนใหญ่ใส่หอเอนเมืองปิซา


วันที่ 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1964 รัฐบาลอิตาลี พยายามหยุดการเอียงของหอเอนเมืองปิซา โดยผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ เช่น วิศวกร นักคณิตศาสตร์ และนักประวัติศาสตร์ โดยใช้เหล็กรวมกว่า 800 ตัน ค้ำไว้ไม่ให้หอล้มลงมา
ในวันที่ 7 มกราคม ค.ศ.1990 หอเอนเมืองปิซาถูกปิดไม่ให้นักท่องเที่ยว เพื่อความปลอดภัย อีกทั้งยังขุดดินของอีกด้านหนึ่งออก เพื่อให้สมดุลยิ่งขึ้น และในวันที่ 15 ธันวาคม 2001 หอเอนเมืองปิซาถูกเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมอีกครั้ง และถูกประกาศว่าสมดุลแล้วใน 300 ปีต่อมาหลังจากเริ่มทำการปรับปรุง

ค.ศ.1987 หอเอนเมืองปิซาถูกประกาศให้เป็นมรดกโลก โดยเป็นส่วนหนึ่งของ Piazza Dei Miracoli หอเอนเมืองปิซายังเป็น 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลางอีกด้วย






โคลอสเซียม (อังกฤษ: Colosseum หรือ Flavian Amphitheatre; อิตาลี: Colosseo - โคลอสโซ) เป็นสนามกีฬากลางแจ้งขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโรม เริ่มสร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิเวสเปเซียนแห่งจักรวรรดิโรมัน และสร้างเสร็จในสมัยของจักรพรรดิไททัส ในคริสต์ศตวรรษที่ หรือประมาณปี ค.ศ. 80 อัฒจันทร์เป็นรูปวงกลมก่อด้วยอิฐและหินทรายวัดโดยรอบได้ประมาณ 527 เมตร สูง 57 เมตร สามารถจุผู้ชมได้ประมาณ 50,000 คน มีการออกแบบอย่างชาญฉลาดโดยสร้างให้สนามกีฬามีลักษณะเป็นรูปวงรี เพื่อให้ผู้ชมรู้สึกเข้าใกล้นักกีฬา และมีการออกแบบทางระบายน้ำเพื่อไม่ให้น้ำท่วมขังในสนามขณะเกิดฝนตก ถือเป็นต้นแบบของสนามกีฬาต่างๆในปัจจุบัน ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 10 ปี
ในบางครั้งจะมีการเรียกชื่อ โคลิเซียม (Coliseum)
7 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 โคลอสเซียมได้รับเลือกให้เป็น1 ในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ จากการลงคะแนนทั่วโลกทั้งทางอินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือ
ที่ตั้ง : กรุงโรม ประเทศอิตาลี(บริเวณเทวสถานแห่งความสงบสุข)
ปีสร้าง : คริสต์ศตวรรษที่ 1

สร้างโดย/สำหรับ  : จักรพรรดิเวสเปเซียน, จักรพรรดิไททัส


มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์




  มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์  รู้จักกันโดยชาวอิตาลีว่า Basilica di San Pietro in Vaticano หรือเรียกกันสั้นๆว่าเซนต์ปีเตอร์บาซิลิกา (Saint Peter's Basilica) มหาวิหารนี้เป็นมหาวิหารหนึ่งในสี่ของมหาวิหารหลักในกรุงโรม, ประเทศอิตาลี (อีกสามมหาวิหารคือ: มหาวิหารเซ็นต์จอห์นแลเตอร์รัน, มหาวิหารซานตามาเรียมายอเร และ มหาวิหารเซ็นต์พอล นอกกำแพง อยู่ในนครรัฐวาติกัน เป็นดินแดนที่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโรม ประเทศอิตาลีเป็นที่ประทับของpope ซึ่งเป็นประมุขสูงสุดแห่งศาสนาคริสต์ นิกายRoman Catholic State of the Vatican City จัดว่าเป็นประเทศ ที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก ศูนย์กลางคือ มหาวิหารSt. Peter ที่ออกแบบโดยอัจฉริยะบุคคล Michelangelo 

คนเชื้อชาติวาติกันไม่มีในโลก มีแต่พลเมืองสัญชาติวาติกัน นครรัฐวาติกันมีพลเมืองประมาณ 900 คน ประมาณ 200 คนเป็นสตรี และมีคนทำงานในนครวาติกัน 1,300 คน พลเมืองของ Vatican City ประกอบด้วย pope cardinal ผู้ปกครองนครรัฐวาติกัน เจ้าหน้าที่ประจำวาติกัน และทหารสวิส ซึ่งเป็นองครักษ์ของpope ประมาณ 100 คน นอกจากนั้นก็ได้แก่เจ้าหน้าที่ทูตวาติกันที่ประจำอยู่ในประเทศต่างๆ ทั่วโลก
พลเมือง วาติกันเหล่านี้จะมีสัญชาติวาติกันเฉพาะในขณะดำรงตำแหน่งหรือเป็นภรรยาของ พลเมืองวาติกัน หรือเป็นบุตรที่มีอายุไม่เกิน 25 ของพลเมืองวาติกัน บุตรคนใดอายุถึง 25 ปี ต้องกลับคืนสัญชาติเดิมผู้ถือสัญชาติวาติกัน หากพ้นตำแหน่งเมื่อใดก็ต้องคืนสู่สัญชาติเดิมของตน พร้อมด้วยบุคคลทุกคนในครอบครัวที่ถือสัญชาติวาติกัน หากชาติเดิมของตนไม่ยอมรับให้ขอสัญชาติอิตาลี
ที่ฝังพระศพของนักบุญปีเตอร์
เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม ค.ศ. 1950 ระหว่างการออกอากาศทางวิทยุสมเด็จพระสันตะปาปาปิอุสที่ 12ประกาศว่าได้มีการค้นพบที่ฝังพระศพของนักบุญปีเตอร์หลังจากที่นักโบราณคดีใช้เวลา 10 ปีศึกษาขุดค้นห้องใต้ดิน (crypt) ภายในมหาวิหาร

ประวัติ
มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์เป็นสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่และสำคัญที่สุดในนครรัฐวาติกันสร้างทับวิหารเดิมที่ชื่อเดียวกัน โดมของมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์สูงโดดเด่นสามารถเห็นได้แต่ไกลในตัวเมืองโรม วัดนี้ตั้งอยู่ในเนื้อที่ประมาณ 2.3 เฮกตาร์ สามารถจุคนได้กว่า 60,000 คนเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดที่หนึ่งของคริสตชนนิกายโรมันคาทอลิก ที่ตั้งวัดเชื่อกันว่าเป็นที่ฝังร่างของ นักบุญปีเตอร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสาวกสิบสององค์ของพระเยซู นักบุญปีเตอร์เดิมเป็นบาทหลวงองค์แรกของอันติโอก (Antioch) ต่อมาก็ได้สถาปนาขึ้นเป็นพระสันตะปาปาองค์ แรกของโรม เพราะนิกายโรมันคาทอลิกเชื่อกันว่าร่างของนักบุญปีเตอร์ถูกฝังไว้ที่นี่ จึงเป็นประเพณีกันต่อมาว่าพระสันตะปาปาหลายองค์ก็ฝังไว้ที่วัดนี้ ตัวมหาวิหารปัจจุบันเริ่มสร้างเมื่อวันที่ 18 เมษายน ค.ศ. 1506 บนวัดแบบคอนแสตนทีน และเสร็จเมื่อปี ค.ศ. 1626

แต่เดิมนั้นมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์มิได้เป็นสถานที่พำนักประจำตำแหน่งของ พระสันตะปาปาเช่นปัจจุบันนี้ (สถานที่ประจำตำแหน่งของสันตะปาปาเดิมอยู่ที่มหาวิหารเซ็นต์จอห์น แลเตอร์รัน) ถึงกระนั้นก็ยังถือกันว่าเป็นวัดสำคัญวัดหนึ่ง เพราะวัดนี้ตั้งอยู่ในตัวนครรัฐวาติกันเอง และมีเนื้อที่มาก การทำพิธีต่างๆที่เกี่ยวกับพระสันตะปาปาก็จะมาทำกันที่นี่ นอกจากนั้นก็ยังมีบัลลังก์บิชอปปีเตอร์ (Cathedra Petri) ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นบัลลังก์ของนักบุญปีเตอร์เองเมื่อดำรงตำแหน่งเป็น สันตะปาปาที่นี่ แต่ปัจจุบันนี้เก้าอี้นี้ไม่ได้ใช้เป็นบัลลังก์บิชอปอีกแล้ว แต่ยังเก็บไว้ไต้ฐานแท่นบูชาที่ออกแบบโดยจันลอเรนโซ เบร์นินี
ผู้สร้าง : สมเด็จพระสันตะปาปานิโคลัสที่ 5
สร้างเมื่อ : คริสต์ศตวรรษที่ 16
โครงสร้าง : หินอ่อนจากโคลอสเซียม
ที่ตั้ง : โรม ประเทศอิตาลี

พระราชวังกาแซร์ตา



พระราชวังกาแซร์ตา   เป็นอดีตพระราชวังที่ประทับของพระมหากษัตริย์แห่งเนเปิลส์แห่งราชวงศ์บูร์บง ที่ตั้งอยู่ที่เมืองกาแซร์ตาในประเทศอิตาลี พระราชวังกาแซร์ตาเป็นหนึ่งในพระราชวังแบบบาโรกที่ใหญ่ที่สุดที่สร้างขึ้นในยุโรปในคริสต์ศตวรรษที่ 18
พระราชวังกาแซร์ตา” ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในปี ค.ศ. 1997 ในฐานะที่ "งานชิ้นเลิศของยุคบาโรก ที่ใช้ทุกสิ่งทุกอย่างในการสร้างความลวงตาและพหุทัศน์ทางสถาปัตยกรรม"
การก่อสร้างพระราชวังกาแซร์ตาเริ่มขึ้นในปี ค.ศ. 1752 สำหรับพระเจ้าชาลส์ที่ 7 แห่งเนเปิลส์ ผู้ทรงทำงานอย่างใกล้ชิดกับสถาปนิกลุยจี วันวีเตลลี เมื่อทอดพระเนตรเห็นแบบจำลองสำหรับพระราชวัง พระเจ้าชาลส์ก็ทรงเต็มตื้นไปด้วยพระอารมณ์ "ที่ฉีกพระหทัยจากพระอุระ" แต่พระองค์ก็มิได้มีโอกาสที่จะได้บรรทมในพระราชวังแม้แต่เพียงคืนเดียว พระเจ้าชาลส์ทรงสละราชสมบัติในปี ค.ศ. 1759 เพื่อไปเป็นพระมหากษัตริย์สเปน โครงการดำเนินต่อมาโดยพระราชโอรสองค์ที่สามและผู้ครองเนเปิลส์ต่อมาพระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ 4 แห่งเนเปิลส์
ผู้สร้าง : พระเจ้าชาลส์ที่ 7 แห่งเนเปิลส์
ที่ตั้ง : เมืองกาแซร์ตา ประเทศอิตาลี
สร้างเมื่อ :  คริสต์ศตวรรษที่ 18

มหาวิหารซีเอนา หรือ อาสนวิหารแม่พระรับเกียรติยกขึ้นสวรรค์


อาสนวิหารแม่พระรับเกียรติยกขึ้นสวรรค์  (อิตาลี: cattedrale metropolitana di Santa Maria Assunta) หรือ มหาวิหารซีเอนา (อิตาลี: Duomo di Siena) เป็นอาสนวิหารของคริสตจักรโรมันคาทอลิก ตั้งอยู่ที่เมืองซีเอนาในประเทศอิตาลี เป็นอาสนวิหารประจำอัครมุขมณฑลซีเอนา-กอลเลดีวัลเดลซา-มอนตัลชีโน
มหาวิหารซีเอนาเริ่มออกแบบและสร้างเป็นครั้งแรกระหว่างปี ค.ศ. 1215 ถึง ค.ศ. 1263 บนฐานของโบสถ์หลังเดิม แผนผังมหาวิหารเป็นแบบกางเขนละตินโดยมีส่วนขวางด้านหนึ่งยื่นออกมากว่าปกติ พร้อมกับโดมและหอระฆัง โดมที่ตั้งอยู่บนหอแปดเหลี่ยมมาสร้างเพิ่มโดยจัน โลเรนโซ เบร์นินี ทางเดินกลางแยกจากทางเดินข้างด้วยซุ้มโค้งครึ่งวงกลม ภายนอกและภายในตกแต่งด้วยแถบหินอ่อนขาวสลับเขียวดำยกเว้นด้านหน้าที่แทรกด้วยหินอ่อนสีชมพูแก่เกือบแดง สีขาวดำเป็นสีสัญลักษณ์ของเมืองเซียนาซึ่งตามตำนานกล่าวว่าเป็นสีของม้าของเซเนียสและอาสเคียสผู้ก่อตั้งเมือง


ประวัติการก่อสร้าง 
มหาวิหารเป็นประวัติที่เต็มไปด้วยตำนาน ในคริสต์ศตวรรษที่ 9 มีหลักฐานว่ามีวังบาทหลวง ณ ที่ตั้งปัจจุบัน ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1058 มหาวิหารซีเอนาใช้เป็นที่ซีนอด (Synod) ที่ทำให้นิโคลัสที่ 2ได้รับเลือกเป็นพระสันตะปาปา และปลดสมเด็จพระสันตะปาปาเท็จเบเนดิกต์ที่ 10
ในปี ค.ศ. 1196 สมาคมช่างหิน “Opera di Santa Maria” ของมหาวิหารได้รับการมอบอำนาจให้รับผิดชอบในการก่อสร้างมหาวิหารใหม่ มาในปี ค.ศ. 1215 ก็มีหลักฐานกล่าวถึงการทำพิธีศีลมหาสนิทในมหาวิหารใหม่ หลักฐานตั้งแต่ปี ค.ศ. 1226 เป็นต้นมากล่าวถึงการขนส่งหินอ่อนสีขาวดำซึ่งอาจจะเป็นหินที่นำมาใช้ในการก่อสร้างด้านหน้ามหาวิหารและหอระฆัง เพดานโค้ง และส่วนขวางของกางเขนสร้างระหว่างปี ค.ศ. 1259 ถึงปี ค.ศ. 1260 ในปี ค.ศ. 1259 มานูเอลโล ดิ รานิเอริและปาร์ริลูกชายเป็นผู้แกะสลักเก้าอี้นั่งสวดมนต์(Choir stall) แต่มาแกะใหม่ร้อยปีต่อมา เก้าอี้เดิมหายสาบสูญไป ในปี ค.ศ. 1264 รอสโซ ปาเดลลาอิโอได้รับจ้างให้สร้างลูกบอลทองแดงสำหรับประดับเหนือโดม
ทางมหาวิหารวางแผนการก่อสร้างต่อเติมครั้งใหญ่ครั้งที่สองในปี ค.ศ. 1339 ซึ่งเป็นแผนที่ถ้าสร้างเสร็จก็ทำให้ใหญ่ขึ้นเป็นสองเท่าโดยสร้างทางเดินกลางใหม่ทั้งหมดและทางเดินข้างอีกสองทางฉากกับทางเดินกลางที่มีอยู่ การก่อสร้างบริหารโดยโจวันนี ดี อากอสตีโน (Giovanni di Agostino) ประติมากรผู้มีชื่อเสียง แต่การก่อสร้างต้องมาหยุดชะงักลงเมื่อการระบาดของกาฬโรคในทวีปยุโรป ในปี ค.ศ. 1348 และมิได้เริ่มใหม่ กำแพงภายนอกที่ยังอยู่ในระหว่างการสร้างยังตั้งอยู่ให้เห็นทางด้านใต้ของมหาวิหาร พื้นของทางเดินกลางที่ยังสร้างไม่เสร็จ ปัจจุบันใช้เป็นพิพิธภัณฑ์และลานจอดรถ
ระหว่างปี ค.ศ. 1999 ถึงปี ค.ศ. 2003 ทางมหาวิหารทำการขุดภายใต้บริเวณร้องเพลงสวด (Quire (architecture) เมื่อพบว่าเป็นโถงทางเข้าโบสถ์คริสต์เดิมที่เต็มไปด้วยจิตรกรรมฝาผนังจากคริสต์ศตวรรษที่ 13 (อาจจะราวปี ค.ศ. 1280) จิตรกรรมฝาผนังเป็นฉากภาพจากพันธสัญญาเดิม และชีวิตของพระเยซู ส่วนที่พบเดิมเป็นทางเข้าวัดแต่เมื่อสร้างหอล้างบาปทางเข้าก็ถูกถม ฉะนั้นจิตรกรรมฝาผนังที่พบจึงเป็นงานที่ไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลงมาตั้งแต่เขียน
ผู้สร้าง : สมเด็จพระสันตะปาปานิโคลัสที่ 2
ที่ตั้ง : เมืองเซียนา ประเทศอิตาลี
สร้างเมื่อ : คริสต์ศตวรรษที่ 13

เซอร์คัส แม็กซิมัส



เซอร์คัส แม็ก เป็นสนามกีฬากลางแจ้งที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งของจักรวรรดิโรมัน เช่นเดียวกับโคลอสเซียม ตั้งอยู่ในใจกลางกรุงโรมในปัจจุบัน
โดยที่เซอร์คัส แม็กซิมัส เป็นสนามกีฬาที่ใช้สำหรับแข่งรถม้าโดยเฉพาะ แต่ก็มีการแข่งขันอย่างอื่นด้วย เช่น กลาดิเอเตอร์ สนามมีสนามหญ้าที่ยาวกว่า 2,000 ฟุต กว้าง 650 ฟุต บรรจุคนดูได้ 25,000 คน นับเป็นสถานที่อีกแห่งหนึ่งมีคนตายมากเพราะในการแข่ง อันเนื่องจากไม่มีกติกาใด ๆ ในการแข่งขัน       ขอเพียงให้รถเข้าสู่เส้นชัยได้เป็นพอ 
เซอร์คัส แม็กซิมัส ถูกสร้างขึ้นในสมัยจูเลียส ซีซาร์ และปรับปรุงบูรณะเรื่อยมาในสมัยจักรพรรดิออกุสตุส และบูรณะอย่างสวยงามในสมัยจักรพรรดิเวสเปเซียน จนเสร็จสมบูรณ์มีความยาว 2,037 ฟุต กว้าง 387 ฟุต และจุคนดูได้ 150,000 คน
ซึ่งด้านทิศเหนือของเซอร์คัส แม็กซิสมัส มีวิหารใต้ดินสร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพีเวสตา ซึ่งเป็นเทพีแห่งเตาไฟด้วย และรอบ ๆ สนามก็มีสิ่งก่อสร้างที่เป็นตึกอาคาร และสถานที่ใต้ดินต่าง ๆ อีกหลายแห่ง
โดยเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งใหญ่นานถึง 6 วัน 6 คืนในโรม ในปี ค.ศ. 64 ในสมัยจักรพรรดินีโร ไฟก็เริ่มไหม้มาจากด้านหนึ่งของสนามกีฬา
ปัจจุบัน เซอร์คัส แม็กซิมัส เหลือเพียงสภาพที่เป็นสนามหญ้าขนาดใหญ่และเศษซากในกรุงโรม
ผู้สร้าง :  จูเลียส ซีซาร์
สร้างเมื่อ : ก่อนคริสต์ศตวรรษ
ที่ตั้ง : โรม ประเทศอิตาลี   

สถานที่ท่องเที่ยว ประเทศอิตาลี

กรุงโรม (Rome)



เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของแคว้นลาซิโอและประเทศอิตาลี ตั้งอยู่ทางตอนกลางของประเทศ ในเขตตัวเมืองมีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 2.5ล้านคน ถ้ารวมเมืองโดยรอบจะมีประมาณ 4.3 ล้านคน โดยมีจำนวนประชากรใกล้เคียงกับมิลานและเนเปิลส์ โรมมีประวัติศาสตร์ยาวนานมากกว่า 2,800 ปี ตั้งอยู่บนเนินเขาทั้งเจ็ดริมฝั่งแม่น้ำไทเบอร์ตอนกลางของประเทศโดยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรในอดีตมากมายเช่น ราชอาณาจักรโรมันสาธารณรัฐโรมันและจักรวรรดิโรมัน โรมเคยเป็นเมืองที่มีบทบาทมากที่สุดของอารยธรรมตะวันตกและในอดีตได้เป็นอาณาจักรที่ใหญ่ที่สุดในโลก ปัจจุบันได้เป็นเมืองหลวงของประเทศอิตาลีตั้งแต่ ค.ศ. 1870 นอกจากนี้ โรมยังเป็นที่ตั้งของนครรัฐวาติกัน ซึ่งเป็นดินแดนที่ประทับของพระสันตะปาปาแห่งศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาธอลิกอีกด้วย

น้ำพุเทรวี่ (Trevi fountain)




เป็นน้ำพุที่สวยงามและมีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก ชื่อ เทรวี่นั้นมาจากคำว่าตรีวิอุมหมายถึงพบกันของถนนสามสาย เป็นอนุสรณ์สไตล์บารอค ออกแบบและก่อสร้างโดย นิโคลา ซาลวี่ ซึ่งองค์สมเด็จสันตะปาปา ครีเมนต์ที่ 12ได้มอบหมายให้สร้างขึ้นในปี 1732 การก่อสร้างดำเนินเรื่อยมาจนกระทั่งภายหลังการสิ้นพระชนม์สมเด็จสันตะปาปาที่ เออร์บัน ที่ 8ได้หยุดชะงักลง และดำเนินการสร้างต่อมาจนแล้วเสร็จในปี 1762 รวม ใช้เวลาทั้งสิ้น 30ปี ทางระบายน้ำ เวอร์โก้ บริเวณลานด้านหน้านั้นก่อสร้างมากว่า 2000ปี ครั้งสมัยโรมโบราณซึ่งปกครองโดยจักรพรรดิออกัสตัส ซึ่ง ตรงเวลา 19 ปี ก่อนคริสตศักราช รูปปั้นแกะสลักที่เลิศหรูอลังการที่อวดโฉมให้ผู้ไปเยือนได้ยลนั้นได้แนวคิดจากความยิ่งใหญ่ของเทพเจ้าเนปจูน เทพแห่งท้องทะเลว่ากันว่า หากใครที่ได้โยนเหรียญลงไปในน้ำ เขาหรือเธอผู้นั้นจะได้กลับมาเยือนอีกในสักวัน

บันไดสเปน (Piazza di spagna )




หนึ่งในจุดที่สวยในกรุงโรมบ่ายๆ ผู้คนจะมานั่งพักผ่อนพบปะกันเต็ม ย่านชอปปิ้งที่หรูหราที่สุดของเมือง มีซอยเล็ก ซอยน้อย ที่ท่านจะได้เดินเที่ยวชมและช้อปปิ้งเพลิดเพลิน


มิลาน (Milan) 



เป็นเมืองสำคัญในภาคเหนือของประเทศอิตาลีตั้งอยู่บริเวณที่ราบลอมบาร์ดี เมืองมิลานมีประชากร ประมาณ 1,308,500คนโดยถ้ารวมบริเวณรอบนอกและเขตปริมณฑลจะมีประมาณ 4 ล้านคน ซึ่งเรียกเขตทั้งหมดว่า ลากรันเดมีลาโน  มิลานมีพื้นที่ประมาณ 1,982 ตร.กม. ชื่อเมืองมิลาน มาจากภาษาเซลต์ คำว่า "Mid-lan" ซึ่งหมายถึง อยู่กลางที่ราบ เมืองมิลานมีชื่อเสียงในด้านแฟชันและศิลปะ ซึ่งมิลานถูกจัดให้เป็นเมืองแฟชันในลักษณะเดียวกับ นิวยอร์ก ปารีส ลอนดอน และ โรม นอกจากนี้มิลานยังเป็นที่รู้จักจากประเพณีคริสต์มาสที่เรียกว่า ปาเนตโตเน อุตสาหกรรม ผ้าไหม และแหล่งผลิตรถยนต์ อัลฟา โรมีโอ

ฟลอเรนซ์ (Florence)



ฟีเรนเซ หรือ ฟลอเรนซ์ เป็นเมืองหลวงของแคว้นตอสกานาและจังหวัดฟีเรนเซ ใน ประเทศอิตาลีระหว่าง ค.ศ. 1865 ถึง ค.ศ. 1870 ฟีเรนเซก็เป็นเมืองหลวงของราชอาณาจักรอิตาลี ฟีเรนเซตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำอาร์โน มีประชากรประมาณ 400,000 คนและอีก 200,000 คนในบริเวณปริมณฑล ฟีเรนเซในยุคกลางเป็นศูนย์กลางทางการค้าและทางการเงิน และถือกันว่าเป็นที่เกิดของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา ตระกูลที่มีอำนาจการปกครองฟีเรนเซเป็นเวลานานคือตระกูลเมดิชิ นอกจากนั้นฟีเรนเซก็ยังมีชื่อว่าเป็นศูนย์กลางทางศิลปะและสถาปัตยกรรม ในยุคกลางฟีเรนเซเป็นที่รู้จักกันในนามว่าเอเธนส์ใจกลางเมืองเก่าของฟีเรนเซได้รับเลือกโดยองค์การยูเนสโกให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก เมื่อปี ค.ศ.1982 (พ.ศ. 2525)

เวนิส(Venice)



เวนิส เป็นเมืองหลวงของแคว้นเวเนโต ประเทศอิตาลี มีประชากร 271,663 คน เมืองเวนิสได้รับฉายาว่า ราชินีแห่งทะเลอาเดรียตริก เมืองแห่งสายน้ำ เมืองแห่งสะพาน และ เมืองแห่งแสงสว่างเมืองเวนิส ถูกสร้างขึ้นจากการเชื่อมเกาะเล็กๆ จำนวนมากเข้าด้วยกันในบริเวณทะเลสาบเวนิเทีย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทะเลอาเดรียตริก ในภาคเหนือของประเทศอิตาลี ทะเลสาบน้ำเค็มนี้ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งระหว่างปากแม่น้ำโปกับแม่น้ำพลาวิ มีผู้อยู่อาศัยโดยประมาณ 272,000 คน ซึ่งนับรวมหมดทั้งเวนิส โดยมี 62,000 คนในบริเวณเมืองเก่า 176,000 คนในเทอร์ราเฟอร์มา) และ 31,000 คนในเกาะอื่นๆ ในทะเลสาบ

ประชากร

ประชาชนที่อยู่ในประเทศอิตาลีเรียกว่า ชาวอิตาเลียน ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากคนในสมัยโรมันโบราณ จำนวนประชากรของประเทศอิตาลีมีประมาณ 60 ล้านคน โดยประมาณ 2.5 ล้านคนอาศัยอยู่ในกรุงโรม และอีก 1.5 ล้านคนอยู่ในมิลาน ประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก มีภาษาทางการคือภาษาอิตาลี และบางพื้นที่ในประเทศเยอรมนีและฝรั่งเศสก็พูดด้วย แต่จะเป็นภาษาซิซิลี และภาษาซาร์ดีเนีย ซึ่งคล้ายกับภาษาอิตาลีแต่ต่างกันที่สำเนียงเท่านั้น
ประชากรส่วนใหญ่ในอิตาลีมีเชื้อชาติอิตาลีถึง 94.2% ของประชากรทั้งประเทศ และอื่นๆอีก เช่น  อัลบาเนีย ยูเครน โรมาเนีย 1.94% แอฟริกัน 1.34% เอเชีย 0.92% อเมริกาใต้ 0.46% และอื่นๆ 1.14%
ประเทศอิตาลีมีสถานที่ที่เป็นแหล่งมรดกโลกอยู่มากกว่าประเทศอื่นในโลก  ซึ่งมีทั้งมรดกโลกทางวัฒนธรรมและมรดกโลกทางธรรมชาติที่มีคุณค่าอย่างมาก ประมาณ 60% ของงานจิตรกรรมทั้งหมดในโลกสรรค์สร้างขึ้นในประเทศอิตาลี และประเทศนี้ยังผลิตไวน์ที่มากกว่าประเทศอื่นอีกด้วย

การศึกษา

การศึกษาในอิตาลี แบ่งเป็นประถมศึกษาจนถึงระดับมัธยมศึกษา ใช้เวลาเรียน 13 ปี (ใช้ระบบ 5-3-5) และระดับอุดมศึกษาซึ่งค่อนข้างยุ่งยากและมีความแตกต่างจากระบบการศึกษาในประเทศอื่น การแบ่งวุฒิการศึกษาจากระดับต่างๆ ในขั้นสูง แบ่งได้ 4 ระดับได้แก่
ระดับเทียบเท่าปริญญาตรี (Diploma Universitario)
ระดับเทียบเท่าปริญญาโท (Laurea Speciallstica)
ระดับเทียบเท่าสูงกว่าปริญญาโท (Laurea Specializzazione)
ระดับเทียบเท่าปริญญาเอก (Dottorato di Ricerca)

ทรัพยากร

ในสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 อิตาลีเป็นประเทศที่มีทรัพยากรมากที่สุดและยังมีทรัพยากรจากแหล่งอาณานิคม ทรัพยากรของอิตาลีมี เหล็ก ทองแดง กำมะถันพบมากในซาร์ดิเนียทางตอนใต้ของอิตาลีมีทะเลสาบและปล่องภูเขาไฟจำนวนมาก อิตาลียังมีถ่านหิน ดีบุกส่วนเกาะซิซิลีของอิตาลีมีก๊าซธรรมชาติมาก เกาะซาร์ดิเนียมีบีตและโรงงานทำน้ำตาลซึ่งใหญ่ที่สุดในยุโรป (น้ำตาลในยุโรปส่วนใหญ่มาจากอิตาลี) อิตาลีปลูกกาแฟมากที่สุดในยุโรป เป็นที่มาของคาปูชิโนและเอสเปรสโซทั้งสองมีต้นกำเนิดที่อิตาลี ทางตอนเหนือของอิตาลีนิยมปลูกองุ่นที่ใช้ทำไวน์ อิตาลีเป็นประเทศที่ค้าไวน์รายใหญ่แห่งหนึ่งของโลก

การคมนาคม

ประเทศอิตาลีมีถนนความยาวทั้งหมด 487,700 กิโลเมตร เชื่อมต่อ 13 ประเทศรอบอิตาลี มีสนามบินทั้งหมด 132 แห่ง โดยที่เป็นศูนย์กลางการบิน 2 แห่ง คือ สนามบินนานาชาติเลโอนาร์โด ดา วินชีในกรุงโรม และสนามบินนานาชาติมัลเปนซา ในมิลาน มีสายการบินสู่ประเทศ 44 ประเทศ (ค.ศ. 2008) มีทางรถไฟความยาวทั้งหมด 19,460 กิโลเมตร เชื่อมต่อ 16 ประเทศ

ภาษาโรแมนซ์

หรือภาษาละติน เป็นภาษาของประชากรในประเทศอิตาลี สเปน ฝร่งเศส โปรตุเกส โรมาเนียโดยมีผู้พูดประมาณ 70 ล้านคน โดยส่วนใหญ่อยู่ในประเทศอิตาลี

เทศกาลสำคัญ

เทศกาลคาร์นิวัล จัดในช่วงปลายเดือนมกราคมถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ จัดตามเมืองต่างๆ แต่ที่มีชื่อเสียงที่สุดอยู่ที่เมืองเวนิส แคว้นเวเนโต มีลักษณะของงานคือเน้นการแต่งการแฟนซีและสวมหน้ากาก
เทศกาลทางศาสนา เช่น เทศกาลอีสเตอร์ ประกอบด้วยการเดินขบวนกู๊ดฟรายเดย์หรือเรียกว่าวันอาทิตย์อีสเตอร์ จัดขึ้นในช่วงรอยต่อระหว่างเดือนมีนาคมถึงเมษายน ภายในเทศกาลจะมีการเฉลิมฉลอง พระสันตะปาปาจะมีกระแสรับสั่งถึงคริสต์ศาสนิกชนในวันอาทิตย์อีสเตอร์ ซึ่งจัดขึ้นที่นครรัฐวาติกัน
เทศกาลศิลปะและดนตรี (อิตาลี: Maggio Musicale Fiorentino) จัดขึ้นในเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน ที่เมืองฟลอเรนซ์ แคว้นทัสกานี
เทศกาลโอเปร่า ที่เมืองเวโรนา แคว้นเวเนโต
เทศกาลลดราคาสินค้าประจำปี จัดขึ้นทั่วประเทศในช่วงเดือนกรกฎาคม และเดือนต่อมาก็จะเป็นช่วงแห่งการพักร้อน ร้านค้าและกิจการในเมืองจะปิด และผู้คนจะไปพักร้อนตามทะเล
เทศกาลฉลองฤดูกาลเก็บเกี่ยวองุ่นที่ใช้ทำไวน์
เทศกาลภาพยนตร์ จัดที่เมืองฟลอเรนซ์ ในเดือนพฤศจิกายน
พิธีมิสซา (ศีลมหาสนิท) ตามโบสถ์ต่างๆ และในคืนวันที่ 24 ธันวาคม สมเด็จพระสันตะปาปาจะเสด็จออกจากบนพระระเบียงมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์นครรัฐวาติกัน


อาหารอิตาลี 

อาหารประจำชาติของประเทศอิตาลี แบ่งตามประเภทของอาหารในแต่ละมื้อได้ดังนี้ อาหารว่างและของกินเล่นระหว่างมื้อ ที่เป็นที่รู้จักดีคือ พิซซ่า โดยพิซซาในอิตาลีจะเป็นแผ่นแป้งอบทาซอสมะเขือเทศ แต่งหน้าด้วยเนื้อสัตว์ มะเขือเทศ หรือเห็ด เน้นที่ชีสยืดเหนียวด้านบน




อาหารเรียกน้ำย่อยหรืออันตีปัสโต (Antipasto) ถ้าเป็นเมืองตามชายฝั่งทะเลจะเน้นอาหารทะเลสด ส่วนทางตอนในจะเป็นไส้กรอกหรือแฮม กินกับผักสดและผักชุบแป้งทอด มิฉะนั้นจะเป็นขนมปังกระเทียมหรือซุปต่าง ๆ นอกจากนั้น อาหารเรียกน้ำย่อยยังรวมไปถึงพาสตานานาชนิดและข้าวแบบอิตาลีที่เรียกว่า รีซอตโต






อาหารจานหลัก ส่วนใหญ่จะเป็นเนื้อสัตว์ล้วนที่ปรุงด้วยวิธีการต่าง ๆ กินคู่กับผักและมันฝรั่ง ถ้าเป็นเมืองชายฝั่งทะเลจะเน้นเนื้อปลา ถ้าเป็นทางตอนเหนือจะเน้นเนื้อวัวและเนื้อแกะของหวาน ของหวานที่พบบ่อย ได้แก่ ไอศกรีมที่กินกับผลไม้สด ปันนากอตตา และซาบาลโยเน




ของที่ระลึกจากเมืองต่าง ๆ ของประเทศอิตาลี

-ของที่ระลึกตามสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ เช่น พวงกุญแจ ที่ทับกระดาษ ผ้ากันเปื้อน ฯลฯ แต่ของเหล่านี้ ส่วนมากจะผลิตในประเทศจีน คือ made in china
-ทองคำ อิตาลีเป็นอีกประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องทองคำ ด้วยการออกแบบที่เก๋ ทันสมัย บวกกับปริมาณทองคำ 75 % จึงทำให้มีรูปแบบ รูปทรงต่างออกไปจากบ้านเรา ร้านขายทองตามเมืองใหญ่ ๆ ตามสถานที่ท่องเที่ยวอย่างโรม เวนิส ราคาจะแพงกว่าร้านค้าในเมืองเล็ก ๆ ราคาทองคำที่นี่จะขึ้นอยู่กับเจ้าของร้านเป็นผู้กำหนด
-เครื่องหนัง สามารถเลือกซื้อเครื่องหนังคุณภาพดี made in italy ได้จากตลาดนัด หรือร้านรวงตามแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋า รองเท้า เข็มขัด เป็นสินค้าที่นักท่องเที่ยวนิยมซื้อเป็นของฝากค่ะ
สินค้าแบรนด์เนม ทั้ง GUCCI, PRADA, DOLCE & GABBANA, FENDI, GIORGIO ARMANI, VERSACE, BULGARI และแบรนด์อื่น ๆ อีกมากมาย ส่วนแหล่งช้อบตามเมืองต่าง ๆ ได้แก่ Via dei Condotti (แถวบันไดสเปน),Via Montenapoleone fashion (มิลาน)หรือจะเป็นตาม outlet เช่น The Mall (ฟลอเร้นซ์), outlet ในเครือ fashion district, Serravalle designer outlet ในเครือ McArthurglen


ตุ๊กตาหุ่นเชิดเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของเกาะซิซิลี




หน้ากากชีวิตจากเมืองเวนิช












1 ความคิดเห็น:

  1. Casino Bonus Codes - December 2021
    No deposit bonus casino promotions. We recommend 2021 casino bonus codes 바카라 사이트 and promos poormansguidetocasinogambling for communitykhabar new players. We also list new 토토 사이트 casino bonuses for septcasino December 2021.

    ตอบลบ